
ชุดสืบสวนเริ่มต้นสอบสวนใหม่ คราวนี้หันไปเน้นที่คนที่เข้าพักอาศัยอยู่บ้านเช่าในที่เกิดเหตุ ซึ่งมีอยู่ 11 ห้อง โดยไล่สอบทีละห้องเริ่มตั้งแต่ห้องเลขที่ 17/1 ไปจนถึงห้องเลขที่ 17/11 กระทั่งพบสาวประเภทสอง บอกว่าพักอยู่กับแฟนชื่อนายชาตรี ร่วมสูงเนิน ทำงานเป็นคนติดตั้ง นั่งร้านให้กับบริษัทรับเหมาแห่งหนึ่งที่ ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย เลิกงานตอน 5 โมงเย็น เจ้าหน้าที่พบหยดเลือดที่ข้างกำแพงรั้วใกล้ห้องของทั้งคู่ จึงกลับมาประชุมวางแผนนำตัวมาสอบสวน ช่วง 6 โมงเย็น เจ้าหน้าที่ไปที่ห้องพักพบนายชาตรี จึงขอตรวจสอบพบที่หลังมือข้างซ้ายมีปลาสเตอร์ปิดแผลไว้ จึงขอเปิดดูพบว่าเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นใหม่ หลังเจ้าหน้าที่เค้นสอบนานกว่า 3 ชั่วโมง นาย ชาตรีอ้างว่าถูกเหล็กบาด แต่กลับมีบาดแผลคล้ายถูกกัดอยู่ด้วย เมื่อขอให้ถอดเสื้อนายชาตรีถึงกับหน้าถอดสี ก่อนพบว่าตามแขนและที่หน้าอกมี รอยขีดข่วน จึงนำตัวมาสอบสวนที่โรงพัก นายชาตรีจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าปาดคอครูสาว แต่ไม่ได้ขโมยเอาทรัพย์สินของผู้ตายแต่อย่างใด


โดยนายชาตรี สารภาพว่า “ผม รู้จักกับคนตายมา 4 เดือนแล้ว โดยทุกครั้งที่เจอก็จะทักทายพูดคุยกันเสมอ เขาเป็นคนอัธยาศัยดีเลยรู้สึกชอบ วันเกิดเหตุประมาณ 4 ทุ่ม ผมออกไปซื้อของข้างนอก เมื่อเดินผ่านห้องผู้ตายพบว่าประตูห้องเปิดอ้าอยู่ เหลือเพียงประตูเหล็กที่มีมุ้งลวดติดอยู่ จึงลองผลักเข้าไปเพื่อหวังจะลักทรัพย์ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อก จึงเดินเข้าไปภายใน เมื่อเห็นผู้ตายนอนหลับอยู่ก็หวังที่จะข่มขืนด้วย แต่กลับสะดุดสายไฟทำให้ผู้ตายตื่นและร้องให้คนช่วย ผมหันไปเห็นมีดวางอยู่บนชั้นวางของ เลยหยิบมีดมาปาดคอผู้ตายจนแน่นิ่งไป” นายชาตรีให้การโดยสีหน้านิ่งเฉย ยังให้การต่ออีกว่า หลังจากนั้นจึงเดินออกจากห้องผู้ตายทางประตูหน้า ก็เดินอ้อมไปเข้าห้องตัวเองทางประตูหลัง เพื่ออาบน้ำชำระคราบเลือดที่ติดอยู่ และทำแผลที่มือแต่เลือดไหลไม่หยุดจึงนำเสื้อตัวที่ใส่ก่อเหตุพันไว้ จากนั้นก็นอนหลับและรุ่งเช้าก็ไปทำงานตามปกติ พอช่วงเย็นแฟนสาวประเภทสองโทร.ตามให้กลับมาที่ห้อง และพบกับตำรวจ ตนยังไม่ได้ข่มขืนผู้ตายแต่ที่เสื้อนอนถลกขึ้นนั้นเกิดจากขณะต่อสู้ และอยากจะขอโทษผู้ตายและครอบครัวผู้ตายกับสิ่งที่ทำลงไป โดยต่อมาตำรวจแจ้งข้อหาหนัก นายชาตรี ถูกดำเนินคดีในข้อหาหนัก “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต..